4 องค์กรวิชาชีพสื่อเตรียมยื่นจดหมายให้ กสทช. ทบทวนและแก้ไข ร่างประกาศการกำกับเนื้อหารายการ ตาม ม.37
(9 ก.ค.56) ที่ประชุมร่วม 4 องค์กรวิชาชีพสื่อ ประกอบด้วย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ได้มีมติและข้อสรุปร่วมกันจากกรณี ที่ กสทช. ได้จัดทำ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การกำกับดูแลเนื้อหารายการในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ……. ว่า
องค์กรวิชาชีพสื่อทั้ง 4 องค์กร ตระหนักและเข้าใจถึงความจำเป็นที่ กสทช. จะต้องมีกลไกเพื่อเป็นเครื่องมือในการกำกับดูแลสื่อมวลชนทั้งระบบอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้พยายามผลักดันให้เกิดร่างประกาศฉบับดังกล่าวโดยอาศัยอำนาจ ตามมาตรา 37แห่ง พ.ร.บ.การประกอบกิจการฯ พ.ศ. 2551 ที่กำหนดให้ กสทช.มีอำนาจ “ระงับการออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสาระที่ก่อให้เกิดการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือมีการกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจาร หรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง” แต่จากการศึกษาวิเคราะห์เนื้อหาที่ปรากฏในร่างฉบับดังกล่าว องค์กรวิชาชีพสื่อ พบว่ามีประเด็นที่ต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบดังนี้คือ
1.เนื้อหาของร่างประกาศนี้อาจขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเพราะมีเนื้อหาเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชนที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองไว้
2. การใช้อำนาจกำกับดูแลของกสทช.ตามร่างประกาศนี้อาจเป็นการขยายขอบเขตอำนาจของ กสทช.เกินกว่าที่ มาตรา 37 พรบ.การประกอบกิจการฯ พ.ศ. 2551 ให้อำนาจไว้
3. กสทช.สามารถใช้อำนาจตามมาตรา 37 นี้ร่วมกับกลไกอื่นๆที่ กสทช.ได้ประกาศใช้ไปแล้ว คือ ประกาศฯ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดในกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ที่มีโทษทางปกครอง หรือ ร่างประกาศ เรื่อง การรวมกลุ่มเพื่อกำกับดูแลกันเองของผู้รับใบอนุญาต ผู้ผลิตรายการ และผู้ประกอบวิชาชีพฯ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการพัฒนาวิชาชีพ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบวิชาชีพกำกับดูแลดันเองด้านจริยธรรมตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
4. เมื่อพิจารณาลงในรายละเอียดของร่างประกาศ พบว่า
4.1 หมวด 1 อาจมีความจำเป็นต้องให้คำจำกัดความถ้อยคำบางประการให้ชัดเจนเพื่อคุ้มครองการได้รับข้อมูลข่าวสารสาธารณะของประชาชน เช่น รายการที่มีเนื้อหาสาระที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง ที่มีลักษณะเป็นการยุยงส่งเสริมให้เกิดความแตกแยกในสังคม หรือมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดการทำลายสันติสุขโดยพลันหรือก่อให้เกิดการใช้กำลังหรือความรุนแรงในสังคม เป็นต้น
4.2 หมวด 2 การกำหนดให้ “ผู้รับใบอนุญาต” ซึ่งหมายถึงเจ้าของสื่อ มีหน้าที่ควบคุมผู้ประกอบวิชาชีพให้ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม ซึ่งอาจทำให้เกิดการแทรกแซงการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์สาธารณะ อันจะนำไปสู่การปิดกั้นข้อมูลข่าวสารหรือการเซ็นเซอร์ได้โดยง่าย
4.3 หมวดที่ 3 การกำกับดูแลที่ให้อำนาจผู้รับใบอนุญาตในการกำกับดูแลตรวจสอบเนื้อหาของรายการอันเป็นการขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 46 ที่รับรองสิทธิเสรีภาพของพนักงาน ลูกจ้างที่ปฏิบัติหน้าที่ตามจริยธรรม
องค์กรสื่อทั้ง 4 องค์กร จึงเห็นควรเสนอให้ กสทช. พิจารณาทบทวนและปรับแก้ไขร่างประกาศดังกล่าวด้วยความรอบคอบ เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการนำเสนอความคิดเห็นตั้งแต่ขั้นตอนการจัดทำร่าง เพื่อให้ร่างประกาศฉบับดังกล่าวสามารถใช้เป็นเครื่องมือของ กสทช. ในการกำกับดูแลสื่อมวลชนที่มีประสิทธิภาพ อันจะนำมาซึ่งประโยชน์ของประชาชนซึ่งเป็นประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง และหาก กสทช.เห็นควรจัดให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อร่างประกาศดังกล่าว องค์กรสื่อทั้ง 4 องค์กรยินดีให้ความร่วมมือส่งตัวแทนเข้าร่วมเพื่อให้ข้อเสนอแนะต่อไป
9 กรกฎาคม 2556
สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
Press Release – 4 องค์กรวิชาชีพสื่อต่อร่างประกาศ ม.37